เมืองเว้ เมืองมรดกโลก เวียดนาม
เมืองเว้เป็นเมืองหลักของจังหวัดเถื่อเทียน-เว้ ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม..พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา เนินทราย หาดทราย ละทะเลสาบ มีพื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญที่สุดของประเทศเวียดนาม มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีอุณภูมิค่อนข้างร้อน ตลอดทั้งปีมี 2ฤดูกาล คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน การเดินทางไปเมืองเว้
ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจาก เมืองดานัง เว้เป็นอดีตราชธานีอันรุ่งโรจน์ และเป็นเอกลักษณ์แต่เก่าก่อน
ทำให้องศ์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้ เป็นเมืองมรดกโลกในปี พ.ศ 2536
1.พระราชวังไดนอย พระราชวังต้องห้าม
5.พระราชสุสานจักรพรรดิ์ไทดิง ก่อสร้างและตกแต่งด้วยวิธีการผสมผสานระหว่างศิลปะเวียดนามดังเดิมกับศิลปะตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลกับเมืองเว้พรอ้มๆกับมหาอำนาจฝรั่งเศษในยุคนั้น
6.เมืองโบราณฮอยฮัน..เมืองนี้เป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๙ (พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๔) ที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี อาคารต่าง ๆ และการวางผังถนน สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของพื้นเมืองและต่างประเทศ ซึ่งได้ผสมผสานกันไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์
ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยู เนสโกเมื่อปี 2542 พอๆกับอีกหลายแห่งที่ขึ้นทะเบียนในเวลาไม่ห่างกันนัก เช่นพระราชวังเว้ อ่าวฮาลองเบย์ นอกจากนี้กำลังแจ้งขอขึ้นทะเบียนอีกนับสิบๆแห่ง ต้องบอกว่าประเทศเวียดนามยังมีมรดกล้ำค่าที่รอเปิดตัวให้ชาวโลกได้รู้จักอีก มากมาย เหลียวมามองบ้านเรา จะมีอะไรเหลืออยู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ และที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเขาใหญ่มรดกโลกที่เบื้องหลังมีการตัดไม้และล่าสัตว์เป็นว่าเล่น หรืออุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีฯ ก็ปล่อยให้สร้างเพิง สร้างร้านค้า อยู่เต็มหน้าวัดมงคลบบิตร นี่ยังดีทีมีกระแสข่าวจะถูกถอดถอน ไม่งั้นป่านนี้ อาจปล่อยให้ร้านค้าเข้ามาขายของกันข้างในพระอุโบสถแล้ว พูดไปก็ขายขี้หน้ายูเนสโกอยู่เหมือนกัน อีตอนขอขึ้นทะเบียนก็วิ่งกันตีนพลิก แต่พอเคาให้แล้วก็ไม่ใส่ใจใยดี ปล่อยให้รกรุงรังเป็นขยะเต็มโบราณสถาน ประจานกันไปทั้งประเทศ ว่า " ความสกปรกรกรุงรัง อยู่คู่กับมรดกโลก"
ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจาก เมืองดานัง เว้เป็นอดีตราชธานีอันรุ่งโรจน์ และเป็นเอกลักษณ์แต่เก่าก่อน
ทำให้องศ์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้ เป็นเมืองมรดกโลกในปี พ.ศ 2536
1.พระราชวังไดนอย พระราชวังต้องห้าม
เขตโบราณสถานราชธานีเก่าเว้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วไปโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเวียดนามมุ่งหมาย ซึ่งสถานที่ได้รับความสนใจมากเป็นอันดับหนึ่งคือนครของกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนที่พระเจ้ายาลองทรงให้ก่อสร้างตั้งแต่ปีค.ศ.๑๘๐๕และพระเจ้ามิงห์หม่างทรงต่อยอดก่อสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ.๑๘๓๒ โดยเป็นนครที่มีกำแพง พระราชวัง ตำหนักและวัดวาอารามต่างๆรวม ๑๔๐ แห่ง ผ่านระยะเวลามา ๒๐๐ ปี นครจักรพรรดิแห่งเว้ยังอยู่ในสภาพดี
นครจักรพรรดิแห่งเว้หรือนครของกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนถูกก่อสร้างบนพื้นที่ ๕๒๐ เฮกต้าร์ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำเฮืองหรือแม่น้ำหอมมีกำแพงล้อมรอบ ๓ ชั้นได้แก่ หว่างแถ่งหรือกำแพงเหลืองและตื่อเกิ๊มแถ่งหรือพระราชวังต้องห้ามของจักรพรรดิที่ถูกล้อมรอบอยู่ภายในกิงแถ่งห์หรือกำแพงนอก นครจักรพรรดิแห่งเว้ยังถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำโห่ห่าแถ่งขนาดใหญ่ทั้ง ๔ ด้านยาว ๗ กิโลเมตรเพื่อป้องกันนครและเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ นครจักรพรรดิแห่งเว้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามหรูหราและมีเอกลักษณ์เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมพื้นเมืองของเวียดนาม แนวคิดปรัชญาตะวันออกและสไตล์สถาปัตยกรรมทหารของตะวันตกอย่างกลมกลืน
2.แม่น้ำหอม..แม่น้ำสายสั่นๆไหลผ่านกลางเมืองเว้ ส่วนแม่น้ำกว้ง แต่ไม่ลึก เหตุที่แม่น้ำสายนี้ถูกเรียกกันต่อๆ มาว่าแม่น้ำหอม ก็เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Autumn) ของแต่ละปี มักจะมีกลีบดอกไม้นานาพันธุ์ที่ผลิดอกออกช่อ และร่วงหล่นเมื่อโรยราลงสู่แม่น้ำทางต้นน้ำ ย่อยสลายคลุเคล้ากันส่งกลิ่นหอม ไหลเป็นทางยาวไกลกว่า 10 ไมล์ ออกสู่ทะเลจีนใต้ที่ทางปลายน้ำ ตลอดลำน้ำสองฝากฝั่งมีความสวยงามทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม
3.อาหารเวียดนามที่ขึ้นชื่อที่สุด คงนี้ไม่พ้น เฝอ...ก๋วยเตียวในน้ำซุปใสหวานได้จากการเคียวเนื้อและเครื่องเทศในน้ำซุปเป็นเวลานาน..เฝอเป็นอาหารที่ผสมผสารความเป็นเวียดนามและฝรั่งเศษ
4.4.
4.วัดเทียนมู่ เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือเจดีย์ทรงเก๋งจีน 8 เหลี่ยม สูงลดลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั่นเป็นตัวแทนของชาตภพต่างๆของพระพุทธเจ้า..ส่วนทางฝั่งซ้ายและขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึก และระฆังสำริดขนาดใหญ่ หนักถึง 2000 กิโลกรัม สูง 2 เมตร เมื่อตีสามารถได้ยินใกล้ถึง 16 กิโลเมตร
5.พระราชสุสานจักรพรรดิ์ไทดิง ก่อสร้างและตกแต่งด้วยวิธีการผสมผสานระหว่างศิลปะเวียดนามดังเดิมกับศิลปะตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลกับเมืองเว้พรอ้มๆกับมหาอำนาจฝรั่งเศษในยุคนั้น
ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยู เนสโกเมื่อปี 2542 พอๆกับอีกหลายแห่งที่ขึ้นทะเบียนในเวลาไม่ห่างกันนัก เช่นพระราชวังเว้ อ่าวฮาลองเบย์ นอกจากนี้กำลังแจ้งขอขึ้นทะเบียนอีกนับสิบๆแห่ง ต้องบอกว่าประเทศเวียดนามยังมีมรดกล้ำค่าที่รอเปิดตัวให้ชาวโลกได้รู้จักอีก มากมาย เหลียวมามองบ้านเรา จะมีอะไรเหลืออยู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ และที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเขาใหญ่มรดกโลกที่เบื้องหลังมีการตัดไม้และล่าสัตว์เป็นว่าเล่น หรืออุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีฯ ก็ปล่อยให้สร้างเพิง สร้างร้านค้า อยู่เต็มหน้าวัดมงคลบบิตร นี่ยังดีทีมีกระแสข่าวจะถูกถอดถอน ไม่งั้นป่านนี้ อาจปล่อยให้ร้านค้าเข้ามาขายของกันข้างในพระอุโบสถแล้ว พูดไปก็ขายขี้หน้ายูเนสโกอยู่เหมือนกัน อีตอนขอขึ้นทะเบียนก็วิ่งกันตีนพลิก แต่พอเคาให้แล้วก็ไม่ใส่ใจใยดี ปล่อยให้รกรุงรังเป็นขยะเต็มโบราณสถาน ประจานกันไปทั้งประเทศ ว่า " ความสกปรกรกรุงรัง อยู่คู่กับมรดกโลก"